ทำไมลพบุรี
พูดถึงโฆษณาชวนเชื่อ อะไรที่ดูทุกวัน ได้ยินทุกวัน ก็ย่อมอยากจะลอง อยากมีส่วนร่วมซะจริงๆ ตอนเช้าระหว่างเดินทางไปทำงาน จะฟังวิทยุอยู่คลื่นหนึ่งเป็นประจำ เค้าร่วมมือกับ ททท. จัดทริปเที่ยวไทย 4 ภาค ฟังบ่อยๆ เข้าก็ชักอยากจะไป แต่ยังไม่แน่ใจในรูปแบบ เลยลองใกล้ๆ ก่อน เอาลพบุรีนี่แหล่ะ ใกล้ดี ค้างแค่ 2 คืน
… โทรจอง โอนเงิน confirm …
หลังสมัครจึงได้รู้ว่า เราอยู่ในสถานะ “สมาชิกใหม่” เพราะเค้ามีก๊วนไปกันเป็นประจำ เหมือนเราไป join group tour 555 เอาวะ จ่ายเงินแล้ว ถอนตัวไม่ได้ ก็ต้องไปละนะ
19 ก.ค. 62 พระปรางค์สามยอด
ผู้มาต้อนรับเป็นตัวแรก ผู้กำหนดทิศทางน้ำ
ออกเดินทางแต่เช้าตรู่ เพื่อนร่วมทริปส่วนมากเค้ารู้จักกันมาก่อน (จากการไปทริปคลื่นวิทยุนี้ด้วยกันมาหลายครั้ง) ส่วนมากเป็นผู้เกษียณอายุแล้ว ได้บรรยากาศไปอีกแบบ ไปถึงตัวเมืองลพบุรี ตามธรรมเนียมก็ต้องไปพระปรางค์สามยอดกันก่อน ฟ้าใส แดดแรง มีลิงมาทักทายเป็นระยะๆ เพื่อนร่วมทริปคนนึง เปิดการเดินทางด้วยการโดนลิงกัด วุ่นวายเล็กน้อย เห็นจำนวนลิงแล้วก็อดนึกไม่ได้ว่า เค้าทำให้มนุษย์เดือดร้อนเพราะมาระราน แย่งของกิน หรือมนุษย์ไปแย่งที่อยู่ที่หากินเค้ากันแน่
ปล. ฟ้าใส แดดสวย แต่ถ่ายรูปไม่ได้อย่างใจ เพราะถือเลนส์ซูมไปจ้า กลับจากคอนเสิร์ตไม่ได้เปลี่ยนเลนส์ซะงั้น T_T
พระนารายณ์ราชนิเวศน์
ตึกพระเจ้าเหา ตึกพระเจ้าเหา
จากพระปรางค์สามยอด ไปต่อที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นวังพระนารายณ์เก่า แต่ละจุดก็มีเรื่องราว ต้องขอบคุณละครบุพเพสันนิวาสที่ทำให้อินกับประวัติศาสตร์ช่วงนี้มากขึ้น เดินไปดูแต่ละสถานที่ก็นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่พลาดไม่ได้คือ “วังพระเจ้าเหา” เพราะมีคนแนะนำมาว่าต้องให้เข้าไปดู วังพระเจ้าเหาเป็นหอพระประจำพระราชวัง และเป็นสถานที่สำคัญที่พระเพทราชาใช้ประกาศยึดอำนาจจากพระนารายณ์
วิสาหกิจชุมชนมหาสอน (บ้านสวนขวัญ)
ขนมนาบกระทะ
แวะกินข้าวเที่ยงแล้วออกเดินทางไปบ้านหมี่ ไปเที่ยววิสาหกิจชุมชนชื่อ “บ้านสวนขวัญ” เป็นชุมชนที่รวมตัวกันเพื่อทำแหล่งท่องเที่ยวโดยไม่ใช้งบประมาณจากหลวง (คุณขวัญ เจ้าของบ้านน่ารักมาก รู้สึกถึงความตั้งใจดีในการทำเพื่อชุมชนเลย) ไปถึงเค้าก็เอาขนมมาต้อนรับ เหมือนขนมกล้วยใส่มะพร้าวขูดกับน้ำอัญชันมะนาว ชื่นใจดี ไปถึงก็มีกิจกรรมทำไข่เค็ม พอกด้วยดินสอพองกับใบเตย และไปดูบ้านโจร บ้านเศรษฐีสมัยก่อนที่โดนโจรปล้น แต่มีเทคนิคการสร้างบ้านให้หลบโจรได้ทั้งคนและของ ที่ขื่อบ้านยังมีรอยกระสุนปืนอยู่เลย
พูดถึงมหาสอน บ้านหมี่ ก็มีความคุ้นๆ ว่าเราน่าจะมีญาติอยู่ที่นี่ แต่ก็ได้ยินชื่อมานานแล้ว จำไม่ได้ว่าญาติฝั่งไหน ตกเย็นถึงโรงแรมโทรไปถามที่บ้าน ปรากฏนี่มันบ้านที่ย่าเคยอยู่ แต่เผอิญว่าย่าเป็นแค่ลูกเลี้ยงที่มีหน้าที่เลี้ยงน้องหลายคน หลังๆ เลยห่างๆ กันไป (ป๊าบอกว่าถ้าพูดนามสกุลนี้ออกไป รับรองรู้จักกันทั้งหมู่บ้าน อิอิ)
ล่องแพเปียก แม่น้ำบางขาม
แดดร่มลมตก ก็ได้เวลาล่องแพเปียกที่แม่น้ำบางขาม (ก็ริมน้ำบ้านสวนขวัญเลย) ใส่ชูชีพแล้วลงไปโลด ด้วยเพื่อนร่วมทริปที่ล้วนเป็นวัยเกษียณ ลงแพก็จะมีกรีดร้อง โวยวายกันบ้าง เพราะแพมันจะจมน้ำอยู่หน่อยๆ ไปได้ซักพักก็เริ่มชิน ลมเย็นๆ บรรยากาศชิลๆ นั่งบนแพเปียกๆ เอาขาลงน้ำ ปล่อยใจไปเรื่อยๆ เป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่ามีความสุขกับธรรมชาติอย่างแท้จริง
ขึ้นจากแพก็กินอาหารเย็นฝีมือชาวบ้านแบบมืดๆ (เกิดความผิดพลาดในการสื่อสารเรื่องการติดไฟ) แต่ไม่เป็นปัญหา มื้อนี้นับว่าดีที่สุดในทริป เมนูประกอบด้วย ไข่เจียว น้ำพริกโจร บวบผัดไข่ แกงป่าปลาย่าง ชอบทุกเมนูเลย สงสัยมากว่าทำไข่เจียวยังไง ถึงได้หนานุ่มและรสกำลังดี ไม่อมน้ำมัน เนื่องจากมืดมากเลยถ่ายรูปไม่ได้เลย ปิดจบหลังอาหารด้วยการแสดงของเด็กๆ ทั้งรำ ทั้งเต้น ชาวคณะมันกันมากกกก ^^
20 ก.ค. 62 ป่าซับลังกา
รถอีแต๊ก อาหารกลางวัน ทางเข้าซับลังกา
วันต่อมา ตามโปรแกรมแจ้งว่าไปเดินป่าซับลังกา ใช้เวลาทั้งวัน ทีแรกก็คิดว่าน่าจะเดินไกลพอสมควร แต่พอเจอเพื่อนร่วมทริปก็ไม่แน่ใจว่ามันจะได้เหรอออออ เอาเข้าจริงๆ เราเดินทางจากโรงแรมที่พักมาเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกาใช้เวลาร่วม 3 ชั่วโมง พอนับเวลากลับด้วยแล้ว (เพราะกลับมานอนที่โรงแรมเดิม) เลยเข้าใจเลยว่าทำไมใช้เวลาทั้งวัน พอไปถึงซับลังกามีการอบรมเจ้าหน้าที่อยู่จำนวนหนึ่ง ได้ยินแว่วๆ ว่าเรื่องช้างป่า เลยได้ข้อมูลมาว่าที่นี่มีช้างอยู่เยอะมาก เลยต้องมีการอบรมอยู่เป็นประจำ
ก่อนถึงจุดเริ่มการเดินป่า เราจะต้องนั่งรถอีแต๊กเข้าไปจากสถานที่ทำการหลายกิโลอยู่ เพราะใช้เวลาเป็นชั่วโมงเหมือนกัน รถอีแต๊กก็ตามภาพ ขโยกขเยกไปตลอดทาง ลงหลุมมีน้ำก็ประเด็นเข้าหน้าเข้าตากันไป คือยังไม่เริ่มเดินก็เหนื่อยแล้ว (คล้ายบรรยากาศรถขนหมูที่พม่า แต่มันโยกเยกกว่าเยอะ แถมนั่งบนไม้กระดานแผ่นเดียว ต้องทรงตัวดีๆ) เมื่อถึงจุดเริ่มเดินก็กินข้าวเที่ยงกันเลย ทีแรกเจ้าหน้าที่จะให้กินในป่า แต่ดูสภาพแล้ว กินเลยละกัน เพราะคณะพวกเรามาถึงค่อนข้างช้ากว่าเวลาที่กำหนด
เดินป่า ทำโป่งช้างเทียม
คนแกร่ง 2019 ทางขึ้น ทางลง ทำโป่งช้างเทียม
กินข้าวเสร็จก็นั่งรถอีแต๊กอีก 300 เมตร ไปยังจุดเดิน ถึงจุดเดินมีพี่ๆ บางคนขอนั่งรอ เพราะน่าจะเดินไม่ไหว ความจริงเอาพี่เค้าขึ้นรถอีแต๊กมานี่ก็นับว่าโหดอยู่ เพราะบางคนก็ถือไม้เท้าแล้ว แต่ก็มาด้วยกันจนได้ เดินเข้าป่าครั้งนี้คือเดินไปที่น้ำตกแห่งหนึ่ง ซึ่งระยะแรกก็เป็นพื้นราบ เดินยังไม่ทันเหนื่อยก็เปลี่ยนจากเดินเป็นปีน และจุดปีนนี่เองที่ชันใช้ได้ แถมลักษณะจะไม่ใช่ทางที่เป็นทางเดินป่าประจำ เพราะเจ้าหน้าที่นำทางเดินไปก็ถือมีดฟันหญ้าไป 555 บางจุดก็ลื่นเพราะมีตะไคร่น้ำ เดินไปถึงยอดก็พบว่าน้ำตกไม่มีน้ำ และต้องลงอีกทางซึ่งมีราวให้จับตลอด ต้องขอบคุณรองเท้า columbia อีกครั้ง ที่ช่วยให้การปีนไม่ยากลำบากจนเกินไป เมื่อกลับจากน้ำตก ชาวคณะไปทำโป่งช้างเทียมร่วมกันเพื่อเป็นอาหารให้ช้างและสัตว์อื่นๆ ในป่า ถือเป็น CSR ของทริปจ้า
21 ก.ค. 62 ตลาดวิถีชุมชน
รออาหารอยู่ฮับ
วันสุดท้ายของทริป เป็นวันสบายๆ แวะเที่ยวตลาดวิถีชุมชน มีของกินขายพอสมควร จุดนี้สนุกกับการให้อาหารหมู แพะ และพูดคุยกับพ่อค้า ป.2 ที่ออกจะเบื่อที่ต้องมานั่งขายของวันหยุด 555 ปิดท้ายด้วยผัดไทย 1 จาน และซื้อข้าวโพดข้าวเหนียวไปกินบนรถ
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
รถนำเที่ยว ระหว่างทางนั่งรถเที่ยว
ขากลับแวะเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ โดยนั่งรถรางไปตามสันเขื่อนเพื่อชมวิวรอบๆ และไปสักการะพระที่อยู่ด้านบน เขื่อนป่าสักฯ อยู่ในเขตพื้นที่ลพบุรีและสระบุรี ปกติจะเคยผ่านจากทางสระบุรีเวลากลับบ้านต่างจังหวัด เป็นครั้งแรกที่ได้เที่ยวฝั่งลพบุรี นั่งไปฟังไกด์เด็กบรรยายบ้าง ร้องเพลงบ้าง ก็เพลิดเพลินดี
สรุปทริปนี้ได้เปลี่ยนบรรยากาศการท่องเที่ยว ได้รู้จักคนใหม่ๆ เข้าใจเรื่องความแตกต่างระหว่างคนได้ดียิ่งขึ้น ช่วงล่องแพได้ค้นพบว่า ธรรมชาติช่วยบำบัดและเยียวยาจิตใจเราได้ยังไง เป็นช่วงที่ชอบที่สุดของทริปนี้ ทริปนี้ทำให้อยากไปเที่ยวเมืองไทยอีกหลายๆ จังหวัด เพราะมั่นใจว่าต้องมีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่อีกเยอะเลย ^^
Leave a Reply